ไฟกุญแจ

0 ความคิดเห็น

ตำแหน่งน๊อตยึด ที่ต้องถอด (คลิ๊กที่รูปเพื่อขยาย)



ตำแหน่งไฟ + 12 V. ที่นำมาใช้ และ ตำแหน่งแทปสายมาใช้งาน (สายเขียวลายแดง)

(อ้างอิงข้อมูลตำแหน่งจาก โอ Mugen Type R ขอบคุณครับ

นำไฟ LED ที่ต่อเป็นวงแหวนมาสวมและเดินสายไฟ ซึ่งสามารถต่อไปเป็นไฟส่องเท้าได้ด้วยครับ ประยุกต์มาจาก Project ไฟส่องเท้า คุณโอ Mugen Type R

เดินสาย รัดเคเบิ้ล เสร็จแล้ว ก็ประกอบคืน จะได้ตามรูป

รูจะแคบมาก ต้องคว้านรูกุญแจให้กว้างขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้แสงออกมามากขึ้น สามารถทำได้ทุกสีของ LED

ความร้อนสูง ฝาสูบโก่ง

0 ความคิดเห็น
ปัญหา เกียวกับความร้อนสูง ฝาสูบโก่ง และการแก้ไข
ในกรณีที่เข็มวัความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนี้ :
1.ดู ระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า
จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
2.เข็ม ความร้อนขึ้นเมื่อใด?
2.1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี
สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง
หมดเสีย
2.2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน
2.3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง
จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ
ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ
ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง
เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ
เย็นเครื่องไม่พอ
2.4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น
ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป

วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความ ร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย
1.ส่วน แสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ
แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย
เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง
ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า
ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale
2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge
sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ
ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน
จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending
unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm
meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน
(วาวล์น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec
ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า
ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)
หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก
จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียว กันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit
จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่า ความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm

วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำใน หม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ
ไม่?
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา
สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ
และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้งโดยช ่างผู้ชำนาญ
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก
หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่ โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม
น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ

ปล.
1.เรื่องความ ร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
เรื่อยๆ
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้ว
จึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสองราคา 3-4 พันบาท ไม่แนะนำ
ให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม

แก้ไขอย่างไรเมื่อเครื่องโอเวอร์ฮีท

อุณหภูมิ น้ำหล่อเย็น ปกติควรอยู่ที่ประมาณ 85-100 องศาเซลเซียส เข็มของมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น
ควรอยู่ประมาณกึ่งกลาง กรณีอากาศร้อนจัดหรือการจราจรติดขัด อาจเลยขึ้นไปด้านบนได้บ้าง
แต่ถ้า ขึ้นไปแตะขีดแดง แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนผิดปกติ

เครื่องยนต์ความร้อน สูงเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฝาปิดหม้อน้ำเสื่อมสภาพ ปิดไม่สนิท เกิดการรั่วในระบบหล่อเย็น
ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อการระบายความร้อน ปั๊มน้ำเสีย สายพานขับปั๊มน้ำขาด วาล์วน้ำไม่เปิด หรือท่อทางเดินน้ำบี้แบน-อุดตัน
ทำให้น้ำไม่หมุนเวียน พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน หรือทำงานผิดปกติ หรือรังผึ้งหม้อน้ำมีสิ่งสกปรกอุดตัน
ทำให้ระบายความร้อนไม่สะดวก
เมื่อ สังเกตเห็นมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นขึ้นสูง ควรรีบนำรถยนต์เข้าจอดในที่ปลอดภัย จากนั้นเริ่มดับเครื่องยนต์
และเปิด ฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อน ไม่ควรใช้น้ำราดบริเวณเครื่องยนต์หรือหม้อน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

ถ้ามีไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำ เพราะน้ำร้อนมีแรงดันสูง อาจพุ่งขึ้นมาลวกได้ ควรรอประมาณ 15 นาที
เพื่อให้เครื่องยนต์คลายความร้อน การเปิดฝาหม้อน้ำควรใช้ผ้าหนา ๆ หรือใช้ผ้ายางปูพื้นในห้องโดยสารมารองมือ
เพื่อ ป้องกันความร้อน และค่อย ๆ หมุนเพื่อระบายความดันออก

ถ้าตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นเพราะน้ำในหม้อน้ำมีระดับต่ำ ก็ให้เติมน้ำเพิ่มเข้าไป หลังจากเครื่องยนต์ดับไปแล้วสักครึ่งชั่วโมง
เพื่อให้เครื่องยนต์คลาย ความร้อนก่อน ไม่ควรรีบเติมน้ำลงไปทันที เพราะโลหะที่ร้อนจัดเมื่อถูกน้ำเย็น
จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนเกิดการแตก ร้าวได้

ควรเติมน้ำครั้งละประมาณครึ่งลิตร และเว้นช่วงประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้น้ำที่เติมลงไป ค่อย ๆ ดึงความร้อนเข้ามา
เพื่อป้องกันประ เก็นฝาสูบแตกหรือฝาสูบโก่ง เมื่อเติมน้ำใกล้เต็มแล้ว ควรติดเครื่องยนต์ไว้ด้วย
เพื่อให้น้ำมีการหมุนเวียนและหมั่นตรวจสอบ มาตรวัดอุณหภูมิ

เมื่อเติมน้ำจนเต็มแล้ว ให้ตรวจสอบรอยรั่วซึมของน้ำตามจุดต่าง ๆ ถ้าไม่มีและอุณหภูมิลดลงอยู่ในระดับปกติก็เดินทางต่อได้
แต่ถ้าเกิดจาก ระบบระบายความร้อน เช่น พัดลมบกพร่อง ควรแก้ไขก่อน

วิธีการไล่ลม ไล่อากาศ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นใหม่ (ไม่จำเป็นต้องหลังการติดตั้งแก๊ส แต่การติดตั้งแก๊ส
ต้องตัดต่อท่อน้ำ หล่อเย็น เข้าหม้อต้ม , สายต้ม)

1. คลายปลั๊ก ถ่ายน้ำทิ้ง มักจะอยู่ด้านล่างสุดของหม้อน้ำ
2. ปิดปลั๊ก ถ่ายน้ำทิ้ง
3. มองหา น๊อต ส่วนมาก จะเป็นประมาณ เบอร์ 12 บริเวณ ที่อยู่ของ วาล์วน้ำ คลายออกเป็นตัวไล่อากาศ
4. เติมน้ำ ให้เต็ม
5. เดินเครื่อง น้ำจะยุบ เติมให้เต็ม
6. ขันน๊อต ข้อ 3 ปิดให้แน่นพอประมาณ ถ้ามี ซิลิโคน ก็ทากันรั่วเสียหน่อย
7. เดินเครื่องสักพัก พอวาล์วน้ำเปิด สังเกตุจากน้ำไหลผ่านจากท่อน้ำบน ลงหม้อน้ำไปท่อน้ำล่าง(ส่วนมากจะเปิดเมื่อน้ำร้อน
ประมาณ 80 - 82 องศา C)
8. เติมน้ำเพิ่มให้เต็ม
9. ปิดฝาหม้อน้ำ ตรวจดูยางกันรั่ว ไม่มีรอยฉีกขาด ไม่เป็นสนิม ถ้าไม่ดีเปลี่ยนใหม่
10. เติมน้ำหม้อพักน้ำให้ได้ระดับ เต็ม Full
11. สำหรับคนที่หาน๊อต ข้อ 3 ไม่พบ ให้เปิดฝาหม้อน้ำ ทิ้งไว้ แล้วเดินเครื่องจนเครื่องยนต์ร้อนได้ที่ วาล์วน้ำเปิด คอยเติมน้ำจนเต็ม
จนน้ำไม่ยุบพร่องอีกแล้ว จึงค่อยปิดฝาหม้อน้ำ
หวังว่า รายละเอียด เหล่านี้คงพอทำให้ มือใหม่ทุกคน ดูแลน้ำหล่อเย็นให้ทำงานได้อย่างดี

การไล่ลมในระบบน้ำ ช่างได้ไล่ลมในระบบได้ครบสมบูรณ์หรือไม่ วิธีการไล่ลม ทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุด ให้ทำดังนี้
- หาขวดน้ำตัดตูด คว่ำขวดที่หม้อน้ำรถ แล้วเติมน้ำให้เต็มถึงตูดขวด
- สตาร์ทรถ แล้วเร่งเครื่องเบา ๆ รถจะค่อย ๆ ดูดน้ำเข้าระบบ แล้วให้เติมน้ำให้เต็มขวดตลอดเวลา
- เร่งเครื่องสูง สลับเบา เติมน้ำให้เต็มขวด และ ใช้มือบีบตามท่อน้ำ บีบปล่อย บีบปล่อย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
และให้สังเกตุที่ขวดน้ำจะมีฟองอากาศลอยขึ้นมา เรื่อย ๆ ทำจนกว่าฟองอากาศจะน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย
- เอาขวดน้ำออก เร่งเครื่องขึ้นอีกครั้ง ปล่อยคันเร่งแล้วให้ดูที่หม้อน้ำว่าน้ำพร่องไปหรือเปล่าถ้าพร่องไปก้อให้ เติมน้ำเพิ่มอีก
แล้วปิดฝาหม้อน้ำ
หรือหากรถมีที่ไล่ลมในระบบ น้ำก้อใช้ใส่ไขควงเปิดไล่ลมออก
น้ำมันเข้าหม้อน้ำ
Oil cooler leak
น่าแปลกครับ หากท่านเปิดฝาหม้อน้ำขึ้นมาแล้วพบว่า มีสิ่งแปลกปลอม น้ำสีชมพูขุ่นๆ เข้ามาแทน
น้ำสีๆเขียวหรือฟ้าๆของ Coolant ของท่าน
ความเสียหาย
1 หากดูไม่ทัน หรือไม่ได้ดู ท่านต้องพบความเสียหายของเครื่องยนต์จากการเกิด Over heat เนื่องจากการระบายความร้อนทำไม่ได้
และ เกียร์ออโตเสียหายแน่นอน เนื่องจากไม่มีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
2 คราบน้ำมันปนน้ำ จะไปทั่วในระบบระบายความร้อนภายในเครื่องยนต์ เป็นคราบเหนียวแน่นไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย เสี่ยงต่อการใช้งานต่อไปในอนาคต
สาเหตุ
1 แสดงว่ามีน้ำมันปนเข้ามาในหม้อน้ำของท่านแน่นอน
2 อาจจะมาจาก Oil cooler รั่ว เลยทำให้น้ำมันเกียร์ออโตที่ไประบายความร้อนในหม้อน้ำรั่วเข้ามาได้
3 น้ำมันเครื่องคงยากหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ แต่กรณีนี้สี สรรไม่น่าใช่ เพราะออกสีชมพู ก็น่าจะมาจากแดงของน้ำมันเกียร์ออโตครับ
Oil cooler รั่วได้อย่างไร
1 การสึกกร่อนตามอายุการใช้งาน ยากครับ
2 ใช้สารเคมี มากเกินไปทำให้เกิดการผุกร่อนเร็วกว่าปกติ เช่นการล้างหม้อน้ำโดยไม่ระวัง หรือใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากเกินไป
โดยไม่มีตัวยับยั้งการผุกร่อน อย่างเพียงหรือถูกต้อง
3 Defect หรือมีรอยชำรุดของ oil cooler มาก่อน

การ แก้ไข
1 ต้องเปลี่ยนหม้อน้ำและ Oil Cooler ใหม่ครับ ซ่อมคงทำได้ยากและไม่คุ้มค่า
2 ควร Flushing ทั้งเกียร์ออโตและหม้อน้ำ ระบบ Cooling ใหม่ทั้งหมด ไล่เอาน้ำมัน ที่ปนมากับน้ำออกให้หมด
ให้มั่น ใจว่าหมดจริงๆแล้วจึงใช้งานต่อไปได้
3 ตรวจสอบหาสาเหตุอย่างอื่นว่า มีอะไรที่พอเป็นสาเหตุที่จะทำให้น้ามันเข้ามาได้อีกหรือไม่ เช่น มาจากเครื่องยนต์ได้หรือไม่
และต้องเฝ้าดูอาการ การใช้อีกสักระยะ เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีการรั่วเข้ามาอีกแน่แล้วจึงจะวางใจได้

ครับ ว่างๆก็เปิดดูหม้อน้ำของท่านบ้างนะครับ สกปรกหรือไม่ ฝาหม้อน้ำยังดีอยู่หรือไม่ หรือว่ามีน้ำมันปนอย่างนี้หรือไม่นะครับ การดูแลรักษาง่ายแบบนี้จะช่วยให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่าย แทนที่จะซ่อมแพงๆก็กลายเป็นถูกๆได้นะครับ

ความร้อนสูง ฝาสูบโก่ง

0 ความคิดเห็น
ปัญหา เกียวกับความร้อนสูง ฝาสูบโก่ง และการแก้ไข
ในกรณีที่เข็มวัความร้อนขึ้นสูงกว่าปกติ ให้ตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนี้ :
1.ดู ระดับน้ำในหม้อน้ำและ หม้อพักน้ำว่าลดลงจากระดับปกติหรือไม่? ถ้าลดลง แสดงว่าน่า
จะเกิดการรั่วซึมในระบบระบายความร้อนที่จุดใดจุดหนึ่ง
2.เข็ม ความร้อนขึ้นเมื่อใด?
2.1.ถ้าขึ้น เมื่อรถติดและลงเมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากพัดลมไฟฟ้าไม่ทำงาน โดยมี
สาเหตุจาก พัดลมไฟฟ้า,รีเลย์พัดลมไฟฟ้า,เทอร์โมสวิตช์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง
หมดเสีย
2.2.ถ้าขึ้น เมื่อรถวิ่ง ส่วนใหญ่จะเกิดจากหม้อน้ำอุดตัน
2.3.ถ้าขึ้นตลอด ทั้งรถติดและรถวิ่ง เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น น้ำในระบบไม่เพียงพอ เนื่อง
จากรั่วซึม(check ได้โดยดูว่ามีคราบน้ำรั่วซึมบ้างรึป่าว) , เทอร์โมสตัทหรือวาวล์น้ำ
ไม่ทำงานทำให้ไม่มีน้ำไปหล่อเย็นเครื่อง (check เบื้องต้นโดย ลองแตะที่ท่อยางน้ำ
ที่ต่อจากเครื่องมาที่ด้านบน เทียบกับท่อยางที่ต่อด้านล่างหม้อน้ำ ถ้าท่อยางด้านล่าง
เย็นกว่าท่อยางด้านบนมาก แสดงว่าวาวล์น้ำผิดปกติ) , ปั้มน้ำเสียทำให้น้ำไปวนหล่อ
เย็นเครื่องไม่พอ
2.4.เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวไม่ขึ้น และก็check อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกอย่างแล้วก็ปกติ ก็อาจเป็น
ไปได้ว่าเกจ์วัดแสดงค่าผิดเพี้ยนไป

วิธีตรวจสอบว่าเกจ์วัดความ ร้อนผิดปกติหรือไม่ :
ระบบมาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ จะประกอบด้วย
1.ส่วน แสดงผล(เข็มแสดงอุณหภูมิที่หน้าปัดเรือนไมล์) เป็น moving coil ที่ทำงานโดยรับ
แรงดันไฟฟ้า จาก ECT gauge sending unit มาแปลงแสดงเป็นระดับค่าอุณหภูมิโดย
เข็มวัดขึ้นลงตาม scale (check เบื้องต้นโดย :ปิด switch กุญแจมาที่ OFF ,ถอด
ขั้ว ECT gauge sending unit ออก , ต่อขั้วของสาย ECT gauge sending unit ลง
ground กับตัวรถ , บิด switch กุญแจไปที่ on และดูว่าถ้าเข็มวัดความร้อนขึ้น ก็แสดงว่า
ปกติ
ข้อควรระวัง ! ต้อง ปิดswitch กุญแจมาที่ off ก่อนที่เข็มจะขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของ scale
2.ส่วนที่วัดอุณหภูมิ (ECT gauge sending unit = engine coolant temperature gauge
sending unit) เป็นตัวต้านทานปรับค่าได้ตามอุณหภูมิ ( variable resistor) โดยค่าความ
ต้านทานปรับแปรผันกับอุณหภูมิ ความต้านทานจะมากที่อุณหภูมิต่ำ และค่าความต้านทาน
จะน้อยลงทเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (check เบื้องต้นโดย : ถอดขั้ว ECT gauge sending
unit ออก , ใช้ Ohm meter มาวัดที่ตัว ECT gauge sending unit โดยขั้ว + ของ ohm
meterต่อที่ขั้วของตัว ECT gauge sending unit และขั้ว - ของ ohm meter ต่อกับ
เครื่อง (ground) , ดูค่าที่วัดได้ , ติดเครื่องยนต์เดินเบาจนกว่าพัดลมไฟฟ้าจะทำงาน
(วาวล์น้ำเปิด) , ดูค่าที่วัดได้อีกครั้ง , ถ้าค่าที่ วัดได้ตอนติดเครื่องแตกต่างจากตอนไม่ติดเครื่องตามที่ spec
ระบุไว้แสดงว่า ECT gauge sending unit ปกติ แต่ถ้าค่าที่วัดได้แตกต่างกันไม่ได้ตาม spec ที่ระบุไว้แสดงว่า
ผิดปกติ (เปลี่ยนตัวใหม่)
หมายเหตุ
1.ตำแหน่งของ ECT gauge sending unit จะอยู่ที่เครื่องบริเวณด้านล่างของช่องน้ำออก
จากเครื่องไปยังหม้อน้ำ(ตรงที่ต่อท่อยางตัวบน ไปหม้อน้ำ)
2.บริเวณเดียว กันนี้ จะมี ECT sensor อยู่อีกตัว ข้อสังเกตคือ ECT gauge sending unit
จะมีสายไปต่ออยู่เส้นเดียว ขณะที่ ECT sensor จะมีสายไฟต่ออยู่ 2 เส้นตัว
3.ตัว ECT gauge sending unit จะอยู่ถัด ECT sensor เข้าไปทางด้านท้ายรถ
4.ค่า ความต้านทานของ ECT gauge sending unit ตามที่ระบุใน manual
4.1.ที่อุณหภูมิ 56 องศาC = 142 ohm
4.2.ที่อุณหภูมิ 85-100 องศาC = 49-32 ohm

วีธีตรวจสอบว่าฝาสูบโก่งหรือปะเก็นฝาสูบแตก ด้วยตัวเอง เบื้องต้น:
1.เปิดฝาหม้อน้ำและดูว่ามีคราบน้ำมันปนเปื้อนอยู่กับน้ำใน หม้อน ้ำหรือไม่?
2.ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง และดูว่ามีน้ำปนเปื้อนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่?
3.เปิดฝาหม้อน้ำไว้ แล้วสตาร์ตรถ และดูว่า ในจังหวะสตาร์ตรถ น้ำในหม้อน้ำกระฉอกขึ้นมารึ
ไม่?
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ใช่ ทั้งหมด ก็สันนิฐานเบื้องต้นได้ว่าฝา
สูบน่าจะโก่งหรือประเก็นฝาสูบแตก แก้ไขโดยเปิดฝาสูบมาทำการตรวจสอบทั้งที่ฝาสูบ
และปะเก็นโดยละเอียดอีกคั้งโดยช ่างผู้ชำนาญ
:-ถ้าตรวจสอบทั้ง 3 ข้อแล้วปรากฎว่าคำตอบเป็น ไม่ใช่ ก็สันนิษฐานได้ว่าฝาสูบไม่น่าจะ
โก่งหรือประเก็นฝาสูบไม่น่าจะแตก
หมายเหตุ
1.ฝาสูบโดยส่วนใหญ่จะไม่ โก่งกันง่ายๆ
2.ฝาสูบจะโก่งก็ต่อเมื่อ รถเกิดความร้อนขึ้นสูงเป็นเวลานานๆ จนเครื่องดับไปเอง หรือ เติม
น้ำลงในหม้อน้ำขณะที่เครื่องยังเย็นตัวไม่พอ

ปล.
1.เรื่องความ ร้อนที่ผิดปกติเนี่ย อาการพื้นฐานจะคล้ายๆกัน แต่ถ้าไล่ check อาการโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่า อาการนั้นๆเกิดจากอุปกรณ์ตัวใด โดยไม่ต้องสุ่มเปลี่ยนอุปกรณ์ไป
เรื่อยๆ
2.เรื่องการเปลี่ยนฝาสูบ อยากให้จัดไว้ท้ายสุด ให้ check จนแน่ใจจิงๆว่า เป็นที่ฝาสูบ แล้ว
จึงค่อยเปลี่ยน
3.ถ้าต้องเปลี่ยนฝาสูบแน่ๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นของมือสองราคา 3-4 พันบาท ไม่แนะนำ
ให้ไสหรือปาดฝาสูบเดิม

แก้ไขอย่างไรเมื่อเครื่องโอเวอร์ฮีท

อุณหภูมิ น้ำหล่อเย็น ปกติควรอยู่ที่ประมาณ 85-100 องศาเซลเซียส เข็มของมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็น
ควรอยู่ประมาณกึ่งกลาง กรณีอากาศร้อนจัดหรือการจราจรติดขัด อาจเลยขึ้นไปด้านบนได้บ้าง
แต่ถ้า ขึ้นไปแตะขีดแดง แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนผิดปกติ

เครื่องยนต์ความร้อน สูงเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฝาปิดหม้อน้ำเสื่อมสภาพ ปิดไม่สนิท เกิดการรั่วในระบบหล่อเย็น
ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอต่อการระบายความร้อน ปั๊มน้ำเสีย สายพานขับปั๊มน้ำขาด วาล์วน้ำไม่เปิด หรือท่อทางเดินน้ำบี้แบน-อุดตัน
ทำให้น้ำไม่หมุนเวียน พัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน หรือทำงานผิดปกติ หรือรังผึ้งหม้อน้ำมีสิ่งสกปรกอุดตัน
ทำให้ระบายความร้อนไม่สะดวก
เมื่อ สังเกตเห็นมาตรวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นขึ้นสูง ควรรีบนำรถยนต์เข้าจอดในที่ปลอดภัย จากนั้นเริ่มดับเครื่องยนต์
และเปิด ฝากระโปรงเพื่อระบายความร้อน ไม่ควรใช้น้ำราดบริเวณเครื่องยนต์หรือหม้อน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

ถ้ามีไอน้ำพุ่งออกมาจากหม้อน้ำ ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำ เพราะน้ำร้อนมีแรงดันสูง อาจพุ่งขึ้นมาลวกได้ ควรรอประมาณ 15 นาที
เพื่อให้เครื่องยนต์คลายความร้อน การเปิดฝาหม้อน้ำควรใช้ผ้าหนา ๆ หรือใช้ผ้ายางปูพื้นในห้องโดยสารมารองมือ
เพื่อ ป้องกันความร้อน และค่อย ๆ หมุนเพื่อระบายความดันออก

ถ้าตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นเพราะน้ำในหม้อน้ำมีระดับต่ำ ก็ให้เติมน้ำเพิ่มเข้าไป หลังจากเครื่องยนต์ดับไปแล้วสักครึ่งชั่วโมง
เพื่อให้เครื่องยนต์คลาย ความร้อนก่อน ไม่ควรรีบเติมน้ำลงไปทันที เพราะโลหะที่ร้อนจัดเมื่อถูกน้ำเย็น
จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนเกิดการแตก ร้าวได้

ควรเติมน้ำครั้งละประมาณครึ่งลิตร และเว้นช่วงประมาณ 3-5 นาที เพื่อให้น้ำที่เติมลงไป ค่อย ๆ ดึงความร้อนเข้ามา
เพื่อป้องกันประ เก็นฝาสูบแตกหรือฝาสูบโก่ง เมื่อเติมน้ำใกล้เต็มแล้ว ควรติดเครื่องยนต์ไว้ด้วย
เพื่อให้น้ำมีการหมุนเวียนและหมั่นตรวจสอบ มาตรวัดอุณหภูมิ

เมื่อเติมน้ำจนเต็มแล้ว ให้ตรวจสอบรอยรั่วซึมของน้ำตามจุดต่าง ๆ ถ้าไม่มีและอุณหภูมิลดลงอยู่ในระดับปกติก็เดินทางต่อได้
แต่ถ้าเกิดจาก ระบบระบายความร้อน เช่น พัดลมบกพร่อง ควรแก้ไขก่อน

วิธีการไล่ลม ไล่อากาศ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นใหม่ (ไม่จำเป็นต้องหลังการติดตั้งแก๊ส แต่การติดตั้งแก๊ส
ต้องตัดต่อท่อน้ำ หล่อเย็น เข้าหม้อต้ม , สายต้ม)

1. คลายปลั๊ก ถ่ายน้ำทิ้ง มักจะอยู่ด้านล่างสุดของหม้อน้ำ
2. ปิดปลั๊ก ถ่ายน้ำทิ้ง
3. มองหา น๊อต ส่วนมาก จะเป็นประมาณ เบอร์ 12 บริเวณ ที่อยู่ของ วาล์วน้ำ คลายออกเป็นตัวไล่อากาศ
4. เติมน้ำ ให้เต็ม
5. เดินเครื่อง น้ำจะยุบ เติมให้เต็ม
6. ขันน๊อต ข้อ 3 ปิดให้แน่นพอประมาณ ถ้ามี ซิลิโคน ก็ทากันรั่วเสียหน่อย
7. เดินเครื่องสักพัก พอวาล์วน้ำเปิด สังเกตุจากน้ำไหลผ่านจากท่อน้ำบน ลงหม้อน้ำไปท่อน้ำล่าง(ส่วนมากจะเปิดเมื่อน้ำร้อน
ประมาณ 80 - 82 องศา C)
8. เติมน้ำเพิ่มให้เต็ม
9. ปิดฝาหม้อน้ำ ตรวจดูยางกันรั่ว ไม่มีรอยฉีกขาด ไม่เป็นสนิม ถ้าไม่ดีเปลี่ยนใหม่
10. เติมน้ำหม้อพักน้ำให้ได้ระดับ เต็ม Full
11. สำหรับคนที่หาน๊อต ข้อ 3 ไม่พบ ให้เปิดฝาหม้อน้ำ ทิ้งไว้ แล้วเดินเครื่องจนเครื่องยนต์ร้อนได้ที่ วาล์วน้ำเปิด คอยเติมน้ำจนเต็ม
จนน้ำไม่ยุบพร่องอีกแล้ว จึงค่อยปิดฝาหม้อน้ำ
หวังว่า รายละเอียด เหล่านี้คงพอทำให้ มือใหม่ทุกคน ดูแลน้ำหล่อเย็นให้ทำงานได้อย่างดี

การไล่ลมในระบบน้ำ ช่างได้ไล่ลมในระบบได้ครบสมบูรณ์หรือไม่ วิธีการไล่ลม ทำได้หลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุด ให้ทำดังนี้
- หาขวดน้ำตัดตูด คว่ำขวดที่หม้อน้ำรถ แล้วเติมน้ำให้เต็มถึงตูดขวด
- สตาร์ทรถ แล้วเร่งเครื่องเบา ๆ รถจะค่อย ๆ ดูดน้ำเข้าระบบ แล้วให้เติมน้ำให้เต็มขวดตลอดเวลา
- เร่งเครื่องสูง สลับเบา เติมน้ำให้เต็มขวด และ ใช้มือบีบตามท่อน้ำ บีบปล่อย บีบปล่อย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
และให้สังเกตุที่ขวดน้ำจะมีฟองอากาศลอยขึ้นมา เรื่อย ๆ ทำจนกว่าฟองอากาศจะน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย
- เอาขวดน้ำออก เร่งเครื่องขึ้นอีกครั้ง ปล่อยคันเร่งแล้วให้ดูที่หม้อน้ำว่าน้ำพร่องไปหรือเปล่าถ้าพร่องไปก้อให้ เติมน้ำเพิ่มอีก
แล้วปิดฝาหม้อน้ำ
หรือหากรถมีที่ไล่ลมในระบบ น้ำก้อใช้ใส่ไขควงเปิดไล่ลมออก
น้ำมันเข้าหม้อน้ำ
Oil cooler leak
น่าแปลกครับ หากท่านเปิดฝาหม้อน้ำขึ้นมาแล้วพบว่า มีสิ่งแปลกปลอม น้ำสีชมพูขุ่นๆ เข้ามาแทน
น้ำสีๆเขียวหรือฟ้าๆของ Coolant ของท่าน
ความเสียหาย
1 หากดูไม่ทัน หรือไม่ได้ดู ท่านต้องพบความเสียหายของเครื่องยนต์จากการเกิด Over heat เนื่องจากการระบายความร้อนทำไม่ได้
และ เกียร์ออโตเสียหายแน่นอน เนื่องจากไม่มีการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
2 คราบน้ำมันปนน้ำ จะไปทั่วในระบบระบายความร้อนภายในเครื่องยนต์ เป็นคราบเหนียวแน่นไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย เสี่ยงต่อการใช้งานต่อไปในอนาคต
สาเหตุ
1 แสดงว่ามีน้ำมันปนเข้ามาในหม้อน้ำของท่านแน่นอน
2 อาจจะมาจาก Oil cooler รั่ว เลยทำให้น้ำมันเกียร์ออโตที่ไประบายความร้อนในหม้อน้ำรั่วเข้ามาได้
3 น้ำมันเครื่องคงยากหน่อย แต่ก็เป็นไปได้ แต่กรณีนี้สี สรรไม่น่าใช่ เพราะออกสีชมพู ก็น่าจะมาจากแดงของน้ำมันเกียร์ออโตครับ
Oil cooler รั่วได้อย่างไร
1 การสึกกร่อนตามอายุการใช้งาน ยากครับ
2 ใช้สารเคมี มากเกินไปทำให้เกิดการผุกร่อนเร็วกว่าปกติ เช่นการล้างหม้อน้ำโดยไม่ระวัง หรือใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากเกินไป
โดยไม่มีตัวยับยั้งการผุกร่อน อย่างเพียงหรือถูกต้อง
3 Defect หรือมีรอยชำรุดของ oil cooler มาก่อน

การ แก้ไข
1 ต้องเปลี่ยนหม้อน้ำและ Oil Cooler ใหม่ครับ ซ่อมคงทำได้ยากและไม่คุ้มค่า
2 ควร Flushing ทั้งเกียร์ออโตและหม้อน้ำ ระบบ Cooling ใหม่ทั้งหมด ไล่เอาน้ำมัน ที่ปนมากับน้ำออกให้หมด
ให้มั่น ใจว่าหมดจริงๆแล้วจึงใช้งานต่อไปได้
3 ตรวจสอบหาสาเหตุอย่างอื่นว่า มีอะไรที่พอเป็นสาเหตุที่จะทำให้น้ามันเข้ามาได้อีกหรือไม่ เช่น มาจากเครื่องยนต์ได้หรือไม่
และต้องเฝ้าดูอาการ การใช้อีกสักระยะ เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีการรั่วเข้ามาอีกแน่แล้วจึงจะวางใจได้

ครับ ว่างๆก็เปิดดูหม้อน้ำของท่านบ้างนะครับ สกปรกหรือไม่ ฝาหม้อน้ำยังดีอยู่หรือไม่ หรือว่ามีน้ำมันปนอย่างนี้หรือไม่นะครับ การดูแลรักษาง่ายแบบนี้จะช่วยให้ท่านประหยัดค่าใช้จ่าย แทนที่จะซ่อมแพงๆก็กลายเป็นถูกๆได้นะครับ

การดูเครื่องมือ 2 เซียงกง

0 ความคิดเห็น
1 ไม่ว่าจะเป็นเครื่องตัวไหน รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร หาที่ ที่มันมีมากกว่า 1 ตัวขึ้นไป เผื่อเสียจะได้มีอะไหล่

2 ต่อราคาไปเลย เช่นราคาเครื่อง 50000 ขอต่อ 35000 ได้ไหม เพราะพวกนี้กำไรเข้ามาเป็น หมื่นอยู่แล้ว

3. สำหรับเครื่อง honda ให้ที่ร้านจัดเรื่องอุปกรณีของ ยางแท่นเครื่อง แท่นเกียร์มาเลย เพราะ honda พวกยางแท่นเครื่อง แท่นเกียร์มีหลายรุ่นมาก

4 ถามเขาว่า เครื่อง เกียร กล่อง รับประกันยังไง (กล่องเครื่องต้องเป็นหมายเลขเดียวกันกับเลขเครื่องพวกนี้มันจะใช้ปากาเคมี เขียน รวมถึง แอรโฟล) ปกติก็ ประมาณ 30 วัน

5 เปิดฝาน้ำมันเครื่องดูที่ แคม ว่ามีรอยมากไหม ยิ่งเงายิ่งดี

6 ให้ที่ร้านต่อสายตรงสตาร์ท ดู แล้วอย่าลืมต่อหม้อน้ำด้วย แล้วลองฟังเสียงเครื่องดูว่าเดิมเต็มสูบหรือเปล่า

7 ลองดึงสายหัวเทียนออกทีละสาย เช๊คดูว่าถ้าดึงออกมาแล้วเครื่องสั่นหรือเปล่า ถ้าสั่นก๊ ok ( ถ้าทำได้)

8 อย่าลืม ถามใบ อินวอย ว่าจะได้เมือไหร่

( พึงสำนึกในใจว่าเราเอาเงินมาซื้อ ไม่ได้มาขอ ถ้าที่ไหนไม่ให้ทำตามที่ผมบอก อย่าไปเอา ) ถ้าเรามีเงินหาซื้อที่ไหนก็ได้อย่าใจร้อน (ถ้ามีคนไหนเพิมเติมอะไรพิมพ์มาได้เลยครับ

ปัญหาเครื่องยนต์

0 ความคิดเห็น
ek 96 เข้าเกียร์ฉุดรอบตกมาก
1.ถอด eacv หรือ มอเตอร์เดินเบา ออกมาล้างเขม่าสีดำๆออกด้วย น้ำมัน
2.ลิ้น ปีกผีเสื้อ ถ้ามันดำก็เอามาล้างด้วยครับ
2.1 เช็คตำแหน่ง ปิดของลิ้นปีกผีเสื้อว่าปิดสนิทมั้ย เพราะบางอู่ จะตั้งให้เปิดนิดๆ เพื่อเร่งรอบ แบบผิดๆ ทำให้มันปิดสนิท ถ้ามีเสศเขม่า ล้างให้สะอาดครับ ส่องใส่ฟ้าดูว่าแสงผ่านมั้ย ถ้ามีแสงผ่านเยอะก็แสดงว่ามันเปิดอยู่นิดๆ ทำให้มันปิดสนิท หรือแสงผ่านน้อยที่สุดครับ
3. pcv วาวล์ ตัวนี้ถ้าตันหรือขม่าเยอะ จะทำให้รอบต่ำ ตั้งรอบไม่ค่อยได้
3.1 pcv วาว จะนำเอาไอน้ำมันเครื่องเข้ามาในปีกผีเสื้อ อาจทำให้มีเขมาอุดตันได้ ถ้าเปลี่ยนใหม่ ของศูนย์ ตัวละ ไม่เกิน 500 บาทครับ ตัวนี้มันเปลี่ยนยากนิดนึงครับ ถ้าใช้มานานแล้วก็เปลี่ยนเลยครับ
3.2 บางคนรอบจะสูงมากและตั้งไม่ได้ สืบเนื้องมาจาก วาวลของ เจ้าตัว pcv วาวนั้นเสื่อม ทำให้ไม่มีการปิดเปิดอย่างเหมาะสม ทำให้อากาศจาก ไอ้น้ำมันเครื่องเข้ามาโดยตรง ทำให้เครื่องรอบสูงถึง 2000 เลย
4.เช็ค สายคันเร่งให้อยู่ในตำแหน่งลิ้นปีกผีเสื้อ ปิดสนิท อย่าให้ดึงจนลิ้นเปิดในขณะรถอยู่กับที่
5.ใส่อุปรกณ์ทุกตัว ตั้งรอบให้ถูกวิธี โดยการ รีเซทกล่อง ถอดฟิว redio backup 7.5 ในกล่องฟิว ด้วยครับ
ขั้นตอนการตั้งรอบ นั้นมีอยู่หลายกระทู้แล้วครับ
ลองทำตามนี้ครับ ถ้าไม่ขี้เกียจเพราะทำแล้ว รู้สึกว่ารอบนิ่งขึ้นเยอะเลยครับ
ที่มองๆไว้อาการนี้ มีน่าสงสัยอยู่คือ เจ้า eacv กับ pcv วาว ครับ

EK96 zc vtec auto
จากการใช้งานปกติรถ จะมีอาการ
1.มีอาการกระตุกค่อนข้างแรงเวลาเกียร์เปลี่ยน(Auto)
2.ขณะ ขับเมื่อลดความเร็วลง จนรอบเหลือประมาณ 900-1000
เช่นเลี้ยวรถบริเวณทางแยก เมื่อเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัว
จะมีอาการกระตุกแล้วพุ่งออกไป คล้ายๆ รถเกียร์ธรรมดาเหยียบคลัทช์ค้างไว้แล้วปล่อย
อาการดังกล่าวจะหายไป เมื่อ reset ecu
แต่เมื่อใช้งานไป 80-90 km. ก็จะมีอาการกลับมาอีก
ทำ ให้ต้องคอย reset ecu อยู่บ่อยๆ
ไม่ทราบว่าอาการนี้ เป็นอาการเสียของ ecu หรือเปล่าครับ??
ปล.ช่างร้านไดนาโม ดูแล้ว กล่องไม่เคยมีรอยซ่อม

ลองเช็คอย่างอื่นดูหรือยังครับ พวกมอเตอร์เดินเบา ลิ้นปีกผีเสื้อ ลองถอดออกล้างดูก่อนครับ เซ็นเซอร์ลิ้นเร่ง ลองวัดไฟสายกลาง มี3เส้นดู ได้ 0.5v ไหม ลองตามนี้ดูก่อน หลังเสร็จ reset ECU ด้วยครับ
เคยเป็นเหมือนกันครับ แต่เป็น mt reset แล้วหาย แปลกแต่จริง
แต่ ผมจะล้าง eacv และปีกผีเสื้อด้วยจะ
แต่อีกอันนึงอย่ามองข้ามเด็ดขาด ยางแท่นเครื่อง เปลี่ยนเลยครับ คาดว่าจะขาด
ตอนแรกมองไม่เห็น พอยกเครื่องออกเห็นครับ
ถ้าสงสัยกล่อง ecu เข้าศูนย์ เช็ค code ไม่กี่ตังค์ครับ จะรู้เลยว่าเสียไม่เสีย
ของผมไม่เสีย
ดูยางแท่น เครื่อง กับ eacv ครับ น่าจะจบ

รอบเดินเบา
Map Sensor ตัวนี้ครับที่ผมเอามาขัดตามรู และร่องตามโอริง ใส่กลับเขาไปไฟที่โชว์ มันหายเฉยเลย เอ้อลืมบอกครับ ไปซื้อเชียงกงมาเปลี่ยน ซื้อมาพร้อมกับ มอเตอร์รอบเดินเบาเลย 800 บาท


อาการของปะเก็นรั่วสามารถเช็คได้ครับ ลองเปิดดูที่หม้อน้ำถ้ามีคราบน้ำมันปนมาด้วยก็มีความเสี่ยงสูงครับ และลองเปิดฝาหม้อน้ำแล้วสตาร์ทเครื่องดูถ้ามีน้ำฟุ้งขึ้นมาก็มีสิทธิ์ครับ
เช้านี้เมื่อกี่นี้เองนะครับ หลังจากวันก่อน ไฟเครื่องยนต์โชว์หายไปทำให้รอบกลับมาเป็นปรกติเกือบ 100 เปอร์เซ็น มีอาการพอสังเกตุได้ คือ รอบนำมันเดินเบาได้ที่ 900- 1000 แต่จะมีอาการกระตุกเล็กน้อยในรอบ ท่อไอเสียมีควันดำเล้กน้อย ซึ่งก็สามารถขับได้ตามปรกติ แต่รู้สึกเท้าไม่ค่อยคุ้นกับขับด้วยนำมันเท่าไหร่ พอได้ซักระยะหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นแก๊ส ก็ผ่านมาด้วยดีครับ ขับมาเรื่อยๆมาใกล้ถึงจัดหมาย เอ้าไฟเหลืองโชว์ขึ้นมาทันที รอบที่เคยนึ่งๆอยู่ก็มาเลยครับ 2500-3000 รอบ งานเข้าเลยเข้าเกียรต้องคอยแตะเบรคไว้ ปวดหัวเลยครับ Map Sensor มอเตอร์รอบเบาเปลี่ยนแล้ว ยังเหลือตัว TPS นี้แหละที่ยังไม่ได้เปลี่ยน ตอนจอดรถได้ที่แล้ว ดับเครื่อง ลองถอดแบตออก แล้ว และแกะ Map มาขัดดูและใส่เข้าใหม่ ใส่ขั้วแบตกลับ สตาร์ทก็ไฟไม่โชว์ อันนี้สันนิฐานได้ไหมครับว่า น่าจะมีรั่วในชุดปีฝีเสื้อ หรือท่อต่างๆ เพราะ มันไม่ค่อยปรกติเลย .....ปัญหารอบเดินเบานี้สร้างความหนักใจให้พวก DIY อย่างเรากันจริงๆๆ
รีเซ็ต ecu ทำยังไงครับ ดึง ฟิวส์ Back UP 7.5 A ใน กล่องฟิวส์ ออก ประมาณ 1 นาที ครับในห้องโดยสารหรืข้างแบตตารี่ครับฟิวที่ว่าตัวที่สอง นับจากแบตเข้าหาตัว
เพิ่มเติมครับ
หลังจากล้างปีกผีเสื้อแล้วดีอยู่ประมาณ2-3วัน
ก็เบาดับ อีก ลองเชคใหม่ปรากฏว่าตัวมิกเซอร์หลวมครับ
เนื่องจากมีการเอาเทปพันสาย ไฟไปพันรอบตัวมิ๊กเซอร์พอนานๆตัวเทปนี้มันหลุด
ทำให้หลวมตอนนี้เปลี่ยน มิกเซอร์ใหม่แล้ว
ก็ดีขึ้นครับ
ผม Reset วิธีนี้ครับ
ติดเครื่องยนต์จนร้อน(รอพัดลมไฟฟ้าทำงาน 2 รอบ)
ดับเครื่องยนต์
ถอดปลั๊ก IACV (มอเตอร์เดินเบา)
ติดเครื่องยนต์ ไฟรูปเครื่องยนต์ติด
รอรอบนิ่ง แล้วขันสกรูปากแบนให้ได้ 850 รอบ
เปิดไฟต่ำ - สูง และรอพัดลมไฟฟ้าทำงาน สังเกตุรอบเป็นระยะ
ดับเครื่องยนต์
ถอดฟิวส์ 7.5 Amp ในกล่องฟิวส์ในห้องเครื่อง (ตัวที่ 2 แถวในสุดนับจากด้านใน) ทิ้งไว้ประมาณ 20 วินาที
เสียบปลั๊ก IACV ใส่ฟิวส์ 7.5 Amp เข้าที่เดิม
เปิดกุญแจไปตำแหน่ง ON (ไม่ต้องสตาร์ทเครื่อง) รอไฟรูปเครื่องยนต์ดับ
กดคันเร่งลงให้สุด แล้วปล่อย
กดเบรคลงให้สุด แล้วปล่อย
ปิดกุญแจ OFF ทิ้งไว้ 20 วินาที
สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง แล้วลองเปิดไฟสูง เปิดแอร์ ในสถานะโอเวอร์โหลดดูครับ
รอบเครื่องตกได้นิดหน่อย

1000 โล ต้อง เช็ครั่ว เเละระบบกล่อง ecu
5000 โล เช็ครั่ว จุดหลวมสั่นคลอนการคลายตัวของจุดยึด เเละ ECU ล้างกรองก๊าซเช็คการสวิทช์ระหว่างนํามันกับก๊าซ
10000 โล เช็ครั่ว จุดหลวมสั่นคลอน การคลายตัวของจุดยึด เปลี่ยนกรองก๊าซ การสวิทช์ระหว่างนํามันกับก๊าซ เเละ ECU
20000 โล เช็ครั่ว จุดหลวมสั่นคลอน การคลายตัวของจุดยึด เปลี่ยนกรองก๊าซ การสวิทช์ระหว่างนํามันกับก๊าซ เเละ ECU

เทอร์โบ

0 ความคิดเห็น
ระบบเครื่องยนต์เทอร์โบมีลำดับขั้นตอนการทำงานและขั้นตอนอย่างไรและมี parts อะไรบ้าง และ parts ทำหน้าที่อะไรบ้าง
เรามารู้จักชิ้นส่วน turbo กันก่อน compressor และ turbine ทั้งสองส่วนนี้แยกชิ้นกันแต่ต้องพึ่งพากัน compessorมีหน้าที่ดูดอัด
อากาศเข้ามา turbine มีหน้าที่ปั่น โดยใช้แรงดันที่ทำให้ใบพัดหมุนจากไอเสียที่ออกมาก่อนปล่อยทิ้งไปตามท่อไอ เสีย
ส่วนประกอบของ ระบบ มีอะไรบ้างมาดูกัน[ parts for turbocharger system ]

1. actulator

2. westegate

3. blow off valve

4. intercooler

5. piping

6. exhaust parts

7. boost control

8. thorttle

9. tuning turbine

10. fuel parts

11. surge tank

12. catalytic
มาดูกันว่า parts แต่ละชนิดทำงานอย่างไร
มาเริ่มตัวแรกเลย
1. actulator เวสเกตกระป๋องที่ติดมากับเทอร์โบนั้นจุดประสงค์หลักก็เพื่อเอาไว้ควบคุมอัต ราบูสท์แต่จะใช้กับเทอร์โบที่ไม่ขนาดใหญ่
มาก เราสามารถปรับแต่ง ได้เพราะของเดิมสปริงค่อนข้างอ่อน เปลี่ยนมาใช้สปริงที่แข็งกว่าบูสท์ได้มากกว่า หลักการทำงาน คือ เมื่อแรง
ดัน ไอเสีย ที่เข้ามาเพียงพอกับที่เราตั้งไว้ แรงดันนั้นก็จะไปดันสปริงเพื่อผลักแรงดันนั้นออก ทำให้บูสท์ไม่กินที่กำหนดไว้


2. wastegate เหมาะสำหรับผู้ที่เปลี่ยนมาใช้เทอร์โบตัวใหญ่ต้องการไอเสียมาก เพราะตัวเวสเกตจะมีช่องปล่อยไอเสียที่ใหญ่กว่า และสปริงของเวสเกต ยังปรับแข็งอ่อนได้ แต่เวสเกตนั้นจะทำให้เกิดเสียงที่น่ารำคาญ

3. blow off valve หลายท่านอาจจะหามาใส่กันคิดว่าเสียงมันเท่ห์มาก เวลาถอนคันเร่ง เจ้าตัวนี้จะติดตั้งบริเวณ ท่ออินเตอร์ ก่อนเข้าลิ้น ปีกผีเสื้อ ประโยชน์ก็เยอะจริงๆครับ ป้องกันไอดีย้อนกลับ ถ้าไม่มีตัวนี้ลมก็จะย้อนกลับไปทำให้ใบพัด เทอร์โบ เกิดความเสียหายได้ เจ้าตัวนี้ยังตอบสนองรอบได้เร็วขึ้นเมื่อเหยีบยคันเร่ง แต่แนะนำให้ต่อท่อวนมาเชื่อมกับท่อของกรองอากาศนะครับจะช่วยได้อีกจุด

5. intercooler
เป็นอุปกรณ์ลดอุณภูมิก่อนเข้าห้องเผาไหม้



5.piping ท่อ ที่ต่อไว้กับกรองอากาศ จะได้ดูดอากาศได้มากขึ้นนิยมใส่กรองเปลือยนะครับ ของรถเดิมเป็นแบบพลาสติกเมื่อดูดอากาศเข้าไปมากๆก็จะเกิดความร้อน อาจจะเกิดการหดตัว

6. exhaust parts
ระบบไอเสียทุกส่วน เริ่มตั้งแต่เอาท์เล๊ทไปท์ไปต่อมาที่ฟร้อนไปป์ จนมาถึงท่อไอเสียและหม้อพักนั้น ของเดิทติดรถนั้นจะถูกสกัดกั้นไว้ด้วย ปัจจัยหลายทาง ทำให้อากาศไม่เรียบลื่น ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนท่อใหม่เป็นแบบท่อตรงหรือก็เปลี่ยนทั้งท่อ หม้อพักทั้งเส้นเลย หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสแตนเลส หรือไทเทเนียมเลยก็ได้ ทั้งนี้ต้องเลือกขนาดท่อให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ด้วย

7. boost control
ตัวควบคุมอัตราบูสถ์ ที่เราเรียกตัวปรับบูสถ์ มีทั้งปรับไฟฟ้า กับ แมนน่วล ในที่นี้จะขอพูดถึงปรับไฟฟ้าครับการทำ งานของบูสถ์ไฟฟ้านั้น จะมีสายแวคคั่มที่ต่อเข้ากับหัวเวตเกสและท่อไอดีกับกล่องควบคุมเพื่อใช้วัด ปรับค่าเเรงดันก่อนจะประมวลผลส่งมายังตัวคอนโทรลที่ติดตั้งภายในรถ แสดงผลว่าอัตราบูสถ์เป็นอย่างไร สามารถใช้แทน เกจ์วัดบูสถ์ได้อีกด้วย

8.thorttle

ลิ้นปีกผีเสื้อ ก็เป็นส่วนที่สำคัญเช่นกันสำหรับระบบเทอร์โบ ลิ้นปีกผีที่มากับรถ na จะใหญ่กว่ารถรุ่นที่มีเทอร์โบ ทั้งๆที่รหัสเครื่องเดียวกันก็ตาม ส่วนใหญ่จะนำมาขยายกันในเครื่องเทอร์โบ

9. tuning turbine
เทอร์โบ การเปลี่ยนขนาดให้ใหญ่ขึ้นนิยมกันมาก ปัจจุบัน มีชุด kit จำหน่าย ไม่ต้องมานั่งคำณวณกันแล้ว สามารถเอามาใส่ได้เลย การเปลี่ยนก็เปลี่ยนทั้งลูก big turbine อันนี้เหมาะสำหรับอยากแรง อีกแบบคือ hi flow turbine คือเปลี่ยนเฉพาะโข่งหน้า อันนี้อยากให้สมรรถนะดีขึ้น

10. fuel parts
ระบบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สำคัญมากครับส่วนนี้ รถจะพังไม่พังก็อยู่ตรงนี้แหละครับ

11. surge thank
ท่อรวมไอดี สำหรับเก็บอากาศไว้ก่อนที่จะนำไปสันดาปในห้องเผาไหม้ บางท่านก็ขยายให้ใหญ่ขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงวัสดุที่นำมาใช้ด้วยครับ ต้องมีผิวที่เรียบลื่นครับ

12. cattalytic
ตัวกรองไอเสีย ตัวนี้สำคัญมากครับในการกรองไอเสียเพื่อรักษาไม่ให้สิ่งแวคล้อมเป็นพิษ แต่เจ้าตัวนี้ก็มาลดแรงม้าลงได้ครับ
นักแต่งรถบ้านเรานิยมนำตัวนี้ ออก ปัจจุบัน มีการทำแคตที่สำหรับนักแต่งรถ มาให้ใช้กัน แต่ราคาค่อนข้างสูงเอาการเลยนะครับ

เครื่อง cv สเต็บแต่ง

0 ความคิดเห็น
เครื่อง cv
ไอดี .17-.22 mm (.007-.009 in)
ไอเสีย .22-.27 mm (.009-.011 in)
เครื่อง zc แคมคู่
ไอดี .13-.17 mm (.005-.007 in)
ไอ เสีย .15-.19 mm (.006-.008 in)
ส่วนเครื่อง b16 ไม่ทราบครับ แต่คิดว่าเท่ากับ zc นะครับ
เอามาลงไว้เผื่อใครหาอยู่ครับ
B16A
ไอดี .008
ไอเสีย .009
เป็นเบอร์ฟิลเลอร์เกจนะครับ
สเตปแรก ก็หา เรกกูเรเตอร์มาใส่ซักตัว + กรองเปลือย
2. เฮดเดอร์ (อาจจะเดินท่อใหญ่ขึ้นหน่อย เพื่อระบายไอเสียได้ดีขึ้น)
3. คอล์ยแยก
4. ฟลายวีล เบา + มูเล่ เบา
5. ขัดพอร์ต
6. เปลี่ยนแคม องศาสูง + สปริงวาล์ว + รีเทนเนอร์ + วาล์ว + ลูก ฝาแดง + วาล์ว
7. แคมฝาแดง
ป.ล. ที่แนะนำให้ใช้ฝาแดงเพราะว่า มานราคาถูกกว่า อาจจะแรงไม่มาก สู้ของซิ่งไม่ได้ แต่ก็ขับสนุกเหมาะเอาไปขับทำงาน
200+ม้า ที่ฟลายวีล ประมาณ180-190 ม้าที่ล้อ มั้ง

อยากแต่งรถ Click http://www.welovecivic.com/forum/index.php/topic,60735.0.html

รับ ซ่อมรถ Honda ทุกรุ่น อะไหล่แท้จากศูนย์ทุกตัว 086-623-0560

รับสั่งชุดแต่งรอบคัน รับทำงานคาร์บอน-เคฟล่าร์ รับสั่งอะไหล่เซียงกง 081-580-8850

การทำสีรถเอง

0 ความคิดเห็น
ก็ง่ายๆ ครับไม่ยาก ไปร้านผสมสี เอารถไปด้วย หรือเอาแค่ฝาถังน้ำมันไปด้วย ให้เค้าเทียบสี
เทียบให้เราเห็นกันจะๆ ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน
(เว้น สีแดงและขาว สีที่เทียบจะอ่อนกว่าหน่อยนึง เค้าบอกต้องรอให้แห้งจริงๆก่อน มันถึงจะเข้มขึ้นมาเท่ากะรถ ซึ่งเค้าจะคำนวนให้เรียบร้อย)อ๊ะๆ บางท่านอาจจะคิดว่า แล้วกรูจะเอา เครื่องพ่น ปั๊มลมมาจากไหน
ก็ที่ร้านเค้ามีบริการ อัดสีที่เราซื้ออ่ะครับ อัดใส่กระป๋องสเปร์ยพ่นสีให้เลย (มีส่วนผสมก๊าซอะไรต่างๆ เรียบร้อย)
ค่าบริการ 160บาท ต่อกระป๋อง ปริมาณที่ได้ จะเท่ากับสีกระป๋องสเปร์ยทั่วๆไปตามร้านขายสี (ที่ป๋องละ50-60บาทอ่ะ)
ที นี้ ค่าบริการผสมสี กระป๋องเล็ก450บาท กระป๋องใหญ่(ประมาณลิตรนึง) 750 บาท ทีนี้ก็แล้วแต่เราจะอัดสีใส่กระป๋องกี่กระป๋อง
กระป๋องครึ่ง(สเปร์ย) ก็สามารถพ่น สเกิร์ตซ้ายขวาได้ สบายๆ อ่ะครับ (พึ่งจัดซ้ายขวาให้ตัวเองเสร็จเลยครับ)
สรุปลงทุนประมาณ พันนึง(ได้สีลิตรนึง+สเปร์ยที่อัดแล้ว2ป๋อง)
และยังเหลือสีที่สามารถอัด ใส่กระป๋องสเปร์ยได้อีกประมาณ 8ป๋อง(สี1ลิตร) อายุสีที่เหลือเก็บได้2ปี
จะพ่น เก็บสีรอยเล็กๆ น้อยๆ หรือพ่น อะไหล่ชิ้นเล็กๆ ได้สบายๆ ถ้าเราไปร้านแต่งรถ ชิ้นละพันนะครับท่าน ฮือๆๆๆ
วิธีเก็บสี รอยถลอกเล็กๆน้อยๆ คงไม่ต้องบอกมั้งครับ ก็แค่ เอากระดาษกาว แปะรอบๆ แผลให้ดี เอาหนังสือพิมพ์ครอบรอบๆอีกที
แล้วก็พ่น เนียนๆ หน่อย อาจจะไม่เนียนเท่าร้าน แต่ก็สามารถกลบรอยน่าเกลียดๆ ได้แล้วครับ
(หรือ แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน จะเอากระดาษทรายละเอียดๆ ขัดก่อนก็ย่อมได้)
ถ้าแผล ใหญ่ๆ ผมว่ารอเคลมทีเดียวดีกว่าครับ อันนี้สำหรับคนที่ไม่สามารถเคลมได้ หรือทำไปก่อน รอเคลมทีเดียวเพื่อไม่ให้น่าเกลียด
หรือเห็นรอยแผล ทีไร ขัดหูขัดตา เจ็บใจ พลาดทีไปขูดนู่นขูดนี่ เสียตังอีกแล้วกรู ก็ไม่ต้องห่วงอีกต่อไป จัดการเองได้เลย
หรือมั่นใจ จะเล่นพวก กันชน สเกิร์ตรอบคัน กระจังหน้า ก็ไม่มีปัญหา อะไหล่ชิ้นเล็กๆ นี่จัดการเองได้เลย ประหยัดเงินแต่งรถไปได้เยอะ
อ่อ ส่วนร้านที่รับทำผสมสี และอัดใส่กระป๋อง ผมไม่รู้นะว่าร้านไหนรับทำบ้าง แต่ร้านที่ผมไปทำมา สีเนียนดีครับ ส่วนสีจะยี่ห้ออะไร
เค้าบอกแล้วแต่ยี่ห้อรถ จะใช้ยี่ห้อสีไม่เหมือนกัน ร้านนี้จะอยู่แถว สี่แยกเกษตร
อยู่บน ถนนเกษตร นวมินทร์ ตัดใหม่ อยู่ตรงตอม่อ ที่25 พอดีครับ ชื่อร้าน B COLOUR CENTER พี่ในร้านอธิบายเรื่องสีดีมากๆครับ เบอร์ติดต่อที่ร้าน02-5794108-9

Soundclad

0 ความคิดเห็น
---Soundclad ---
ซาวด์-แคลด ลดเสียงรบกวนที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนใต้ท้องรถ คุณคงไม่ปฏิเสธว่า ผิวถนนของ เมืองไทย ขรุขระ หลุมบ่อมากมาย ขณะที่คุณขับรถ แรงกระแทกระหว่างรถกับถนนหรือก้อนหินมา กระทบรถนอกจากจะทำให้เกิดเสียงดังใต้ท้องรถแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อพื้นใต้ท้องรถอีกด้วย รถรุ่นใหม่ วันนี้ จึงต้องการ SOUND-CLAD เพื่อลดเสียงรบกวน แรงสั่นสะเทือน และอันตรายจากสภาพพื้นถนน แม้ในสภาพถนนที่ขรุขระที่สุด ช่วยดูดซับเสียงและ ลดแรงสั่นสะเทือน จากใต้ท้อง รถถึง 50%
ซาวด์-แคลด (DINITROL 479)
น้ำยาซาวด์-แคลด มีความเข้มข้น ( Rubbry) ใช้ฉีดพ่นเคลือบทั่วพื้นผิวใต้ท้องรถ สามารถลด เสียงรบกวนได้ดี มีคุณสมบัติยืดหยุ่นไม่ดูดซับความชื้นและยึดติดพื้นผิวใต้ท้องรถ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดย ไม่หลุดร่อนยิ่งไปกว่านั้น ซาวด์-แคลด ยังมีประสิทธิภาพในการกันฝุ่นเข้ารถได้ดีที่สุดอีกด้วย

ข้อความนี้ มาจากเวปbmw ไม่ทราบว่าโฟมที่ว่าน่ะ ใช่อันเดียวกับ SOUND-CLAD นี่รึเปล่าครับ แล้วก็ มีไครเคยไปทำบ้างได้ผลดีรึเปล่าครับ แล้วราเท่าใหร่ไม่รู้กำลังหาข้อมูลอยู่ไครทราบช่วยตอบด้วยครับ

ลองอ่านนี่ดูครับ ก็อบมาจาก นิววีออสคลับ เขาไปบุพื้นและหลังคามาไหม่ งบไม่เกิน 3000 เงียบเหมือนแคมรี่เลยครับ เขาว่างั้น

JAZZ B18 C

0 ความคิดเห็น
หัว ฉีดหลักขนาด 510 ซี.ซี. จาก EVO VI ขนาด 510 ซี.ซี.
ควบคุมแรงดันด้วย REGULATOR จาก SARD
เทอร์โบ TD06-20G จาก GREDDY บูสต์ 1.2 บาร์
เวสต์ เกตแยกสไตล์ HKS
หลังจากที่เราเคยนำ HONDA JAZZ มาให้ชมกันอยู่เสมอ ๆ ผ่านตาไปก็มากมายหลายสิบคัน มีทั้งการโมดิฟายในแบบสวยงาม เหมือนสเป็กตัวนอก การแต่งในเรื่องความแรง อย่างเช่น เอาเครื่องเดิมเพิ่มความแรงด้วยเทอร์โบคิต หรือจะเปลี่ยนเป็นเครื่อง K20A มาแล้วก็ตาม แต่...การลองเอาเครื่องยนต์รหัส B มาลองทำดูบ้าง คุณเห็นมีใครทำบ้างหรือยัง... นี่แหละครับ คันแรกเลยก็ว่าได้ โดยใช้เครื่องยนต์รหัส B18C "ฝาดำ" จาก INTEGRA มีกำลังจากโรงงาน 180 แรงม้า ที่ 7,600 รอบ/นาที ซึ่งการดัดแปลงทั้งหมดเป็นผลงานของอู่ CHOO MAKER (ชู เมกเกอร์) ย่านพระราม 3 ขั้นแรกก็ต้องดัดแปลงแท่นเครื่อง แท่นเกียร์กันใหม่ เหลือตำแหน่งแท่นเครื่องเดิมอยู่เพียงอันเดียว ส่วนแท่นที่เหลืออีก 3 ตำแหน่งเป็นของ B18C และเพิ่มแท่นยึดในตำแหน่งด้านหน้าอีก 1 ตัวจาก 1JZ-GTE เพื่อให้เกิดความแข็งแรงมากขึ้น
จากนั้นได้ติดตั้งระบบอัดอากาศที่เรียกว่า เทอร์โบ เข้าไป รหัส TD06-20G ของ GREDDY พร้อมเวสต์เกตแยกสไตล์ HKS คุมบูสต์ 1.2 บาร์ ขยายท่อทางเดินไอเสียเป็น 3 นิ้ว พร้อมหม้อพักปลายจาก GANADOR ส่วนระบบทางเดินไอดีติดตั้งโบล์วออฟวาล์วจาก BLITZ และอินเตอร์คูลเลอร์รุ่น SUPER จาก ARC ส่วนออยล์คูลเลอร์ที่เห็นอยู่ 2 ตัวนั้น สำหรับระบายความร้อนให้กับน้ำมันเกียร์และน้ำมันเครื่องจาก EARL'S ต่อจากนั้นไส้ในเพิ่มความทนทานและเพิ่มบูสต์ได้มากขึ้นด้วยลูกสูบมาใช้ของ 4A-GZE ที่มีขนาด 81 มม. เท่ากัน มีความทนทานมากกว่า แต่จะต้องแก้ไขนิดหน่อยที่สลักก้านสูบโดยการขยายให้ใหญ่ขึ้น และทำการเสริมปะเก็นเหล็กหนา 2.6 มม. ระบบหัวฉีดหลักเปลี่ยนมาใช้ของ EVO VI ขนาด 510 ซี.ซี. พร้อมตัวควบคุมแรงดันจาก SARD ที่มาจากปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงของ BOSCH สำหรับ BMW 5 SERIES อีก 2 ตัว ควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยกล่องแบบ PIGGY BACK รุ่นใหม่จาก HKS F-CON V PRO 2.1 จูนโดย วิชัย การช่าง ส่วนระบบจุดระเบิดที่รับกับงานที่หนักขึ้นด้วยชุดหัวเทียนจาก HKS เบอร์ 8 ชุด VOLT STABILIZER จาก BUDDY CLUB ถังดักไอน้ำมันเครื่อง SARD กรองอากาศ HKS หม้อน้ำสร้างขึ้นใหม่ด้วยอะลูมิเนียมพร้อมพัดลมไฟฟ้า 3 ตัว ส่วนระบบส่งกำลัง เลือกใช้เป็นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด จากรุ่น B18C TYPE R แบบ CLOSE RATIO พร้อมชุดคลัตช์ OS GIKEN แบบ TWIN PLATE พร้อมลิมิเต็ดสลิป
ชุด VOLT STABILIZER เพื่อความสมดุลของกระแสไฟจาก BUDDY CLUB
ท่อ ทางเดินไอเสียสเตนเลสขนาด 3 นิ้ว ของ GANADOR
ระบบการทำงานของช่วงล่าง ยังคงเอกลักษณ์เดิมจากโรงงานไว้หมด เพียงเพิ่มบางจุดให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น อาทิ ค้ำตัวถังด้านหน้าบริเวณเหนืออินเตอร์คูลเลอร์ TRACTION BAR อยู่ทางด้านหน้าใต้เครื่อง ที่ทางอู่สร้างขึ้นเองทั้งหมดเพิ่มความแข็งแรง ค้ำโช้คหน้าจาก PLUS SPORTS ส่วนโช้คและสปริงเปลี่ยนมาใช้ของ SAGE สตรัทปรับเกลียว ส่วนระบบเบรกพัฒนาให้เอาความแรงสเต็ปนี้ให้อยู่ด้วยเบรกคู่หน้าคาลิเปอร์ 4 พอร์ต หลัง 2 พอร์ต พร้อมจานดิสก์เบรกจาก BREMBO/SKYLINE R33 GT-R โดยที่ระบบเบรกด้านหลังได้ทำการเสริมตัวคาลิเปอร์เบรกของ TOYOTA SUPRA เข้าไปอีก 1 ชุด สำหรับระบบเบรกมือ พร้อมกับล้อน้ำหนักเบาแต่ขนาดใหญ่ขึ้นจาก W WORK รุ่น W-ITS 901 ขนาด 18 x 8.5" พร้อมยาง FALKEN ZIEX ZE512ไซส์ 225/40 ZR18 ในล้อหน้าและ 215/40 ZR18

การป้องกันรถหาย

0 ความคิดเห็น
หากมีเหตุจำเป็นที่เราจะต้องจอดรถไว้ไม่ว่าที่ใดก็ตามย่อมมีโอกาส เสี่ยงที่จะถูกขโมยได้เสมอ และเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น เป็นเรื่องยากที่จะติดตามกลับคืนมาได้ เนื่องมาจากกำลังของเจ้าหน้าที่มีน้อย และไม่รู้เส้นทางการหลบหนี แจ้งความแล้วไม่รู้เมื่อไหร่จะได้คืน ดังนั้นจึงมีอีกวิธีซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผล 100 % ในการป้องกันรถหาย คือ

หาก รู้ว่าจะต้องจอดนานๆ ในที่ที่เสี่ยงภัยจากขโมย ขโจร ให้ท่านหาซื้อโทรศัทพ์มือถือราคาถูกๆ แต่ใช้งานได้ดี และมี Battery ดี (ย้ำว่าต้องดีจริงๆ) ซิมการ์ดระบบใดก็ได้ เปิดเครื่องและซ่อนไว้ในรถในจุดที่ลับตาที่สุด ในจุดที่คิดว่าคนร้ายจะไม่เห็น จากนั้น

เปิดเครื่อง ปิดเสียง > ปิดสั่นทิ้งไว้ในรถเมื่อท่านต้องจอดในบริเวณที่มีความเสี่ยง และล็อครถของท่านตามปกติ

และกรณีเกิดรถหาย ให้แจ้งที่ 191 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประสานงานกับผู้ให้บริการเครือข่ายของหมายเลขโทรศัพท์ ที่ท่านซ่อนไว้ในรถ
เพื่อค้นหาตำแหน่งของรถท่านเพื่อการติดตามจับ กุมได้อย่างรวดเร็ว เพราะโดยส่วนใหญ่ รถที่หายจะยังอยู่บนถนน หากที่ใดมีคลื่นโทรศัพท์ ก็จะสามารถระบุตำแหน่งได้ทันทีแน่นอน 100% ทุกวันนี้ซิมการ์ดระบบเติมเงิน บางระบบเติมเท่าใด

50 วิธีใช้รถยนต์ ที่คุณไม่ควรมองห้าม

0 ความคิดเห็น
50 วิธีใช้รถยนต์ ที่คุณไม่ควรมองห้าม
1. เติมน้ำมันล้นถังไม่เป็นผลดี
ในสภาพอากาศร้อนจัดอย่า เติมน้ำมันจนล้นถัง
เพราะความร้อนจะทำให้เพิ่ม ความดัน
มีผลทำให้ น้ำมันขยายตัวลื่นไหลออกจากถังเกิดอันตราย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
2. ลากเกียร์ทำให้คลัตช์เสียเร็ว
การใช้เกียร์ควรทำให้เหมาะสม และถูกจังหวะ อย่าลากเกียร์บ่อย
จะทำให้ คลัทช์เสียเร็วและยางหมดอายุเร็วขึ้น
3. อย่าขับรถจนน้ำมันหมดถัง
การขับรถจนน้ำหมด ถัง จะทำให้เครื่องกรองน้ำมันมีโอกาสเสียได้มาก
เนื่อง จากตะกอนบางอย่าง ที่สะสมอยู่ในถังจะไปค้างที่เครื่องกรอง
4. อย่าใช้อิฐแทนแม่แรงรถ
อิฐสร้างบ้านก้อนที่แข็งที่สุดยังสามารถ แตกได้
อย่าใช้รองหรือหนุนรถแทน แม่แรงต่างหาก เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
5.ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาด กระจก
แอลกอฮอล์มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อโรคและยังใช้ทำความสะอาด อุปกรณ์ที่ เป็น
แก้วหรือกระจกได้ กระจกรถของคุณที่มีคราบสกปรก
จะถูก ขจัดได้ อย่างง่ายดายด้วยแอลกอฮอล์
6. สำรวจกระจกอย่าให้มีรอยร้าว
รอยร้าวที่กระจกเพียงเล็ก น้อย
จะทำให้ขยายวงกว้างไปสู่การแตกใหญ่ ได้ต้องหมั่นสำรวจอยู่เสมอ
การ เปิดแอร์เย็นจัดในขณะอากาศภายนอกร้อนจะทำให้กระจกหดตัวอย่างรวดเร็ว
เป็น สาเหตุให้เกิดการแตกของกระจกได้
7. เครื่องเป่าผมก็มีประโยชน์
รถ ที่สตาร์ทไม่ติด อันเนื่องมาจากปัญหาความชื้นลองใช้เครื่องเป่าผมเป่าความ
ร้อน บริเวณ เครื่องยนต์ที่คิดว่ามีความชื้นจนกว่าจะแห้ง
แล้วลองสตาร์ทใหม่ดู อีก ครั้ง
8.การควบคุมอารมณ์
การขับรถจำเป็นที่จะต้องควบ คุมอารมณ์ด้วยความอดทนยิ่งในสภาพรถติดแสน สาหัส
แบบบ้านเรายิ่งต้องมี ความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่สวมวิญญาณร้ายขณะขับรถ
ไม่ใช้วาจาหยาบคาย และอย่าพยายามสั่งสอนบทเรียนต่อผู้อื่น
9. โกรธและหงุดหงิดอย่าขับรถเด็ดขาด
อารมณ์โกรธและหงุดหงิด มีผลเสียอย่างยิ่งต่อการใช้รถใช้ถนน
ความกดดัน ทางอารมณ์จะทำให้มีผลต่อเนื่องไปยังผู้ขับขี่รถคนอื่น
และนำไปสู่การ เกิดอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงได้
10. อย่าตอบโต้กับผู้ขับขี่รายอื่น
หากคุณอารมณ์เสียเนื่อง จากผู้ขับขี่รถคันอื่น
ต้องพยายามเก็บกด อารมณ์ไม่ตอบโต้ การตอบโต้จะทำให้เกิดผลร้ายต่อเนื่อง
อย่างน้อยจะทำให้ เราขาดสมาธิขาด การสังเกต สุดท้ายก็ลงเอยด้วยอุบัติเหตุ
เป็นไปได้น่าจะ จอดรถสงบสติ อารมณ์สักครู่
11. หลีกเลี่ยงการเดินทางในสภาพอากาศเลวร้าย
เรามั่นใจแค่ ไหนในการขับขี่รถในสภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ฝนตกหนัก
หมอก ลงจัด ทางที่ดีควรจะงดการขับรถ หันไปใช้บริการของรถสาธารณะจะดีกว่า
ทั้ง นี้ ต้องติดตามการพยากรณ์ของอุตุนิยมวิทยา
12. การปรับพวงมาลัย
รถ รุ่นใหม่สามารถปรับ แกนพวงมาลัยให้เข้ากับสภาวะร่างกายของผู้ขับขี่ได้
อย่า ปรับให้พวงมาลัย อยู่ในตำแหน่งที่มองแผงหน้าปัดยาก
ล็อคแกนพวงมาลัยให้ มั่นคงหลังจากปรับ ตำแหน่งจนได้ที่แล้ว
ห้ามปรับพวงมาลัยในขณะรถเคลื่อน ที่เด็ดขาด
13. เกียร์สูงสุด
เป็น เกียร์ที่ใช้กับอัตราเร็วสูง
แต่ให้กำลังน้อยที่สุดเราจะใช้เกียร์สูง สุดกับอัตราเร็วของรถยนต์ที่แตกต่าง
กันได้มา คุณสามารถใช้แล่นด้วยความเร็วคงที่บนถนนทางตรง
14. อย่าให้ไฟดวงหนึ่งดวงใดขาด
การใช้สัญญาณไฟจะทำให้รถคันอื่นที่ตาม หลัง หรือสวนทางเข้าใจในเจตนาของเรา
แต่ หากไฟสัญญาณดวงหนึ่งดวงใดขาดไป จะทำให้เป็นอันตรายแก่การใช้รถใช้ถนน
ควร ตรวจสอบและหาฟิวส์ หรือไฟอะไหล่ไว้ในรถบ้าง
15. ไฟเตือนภัยมีความสำคัญ
อย่าขับ รถยนต์ออกไปเด็ดขาด กรณีที่มีการเตือนของไฟบนแผงหน้าปัดขึ้น เช่น
ไฟ เตือนความดันน้ำมันหล่อลื่น เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
16. กระพริบไฟหน้าแทนแตร
การใช้ไฟสูง-ต่ำของไฟหน้า
ทำให้เกิดการ กระพริบสามารถเตือนผู้ขับขี่ราย อื่นด้วย
ที่คาดว่าจะไม่ได้ยินเสีสยแตร จากรถของเรา
17. อย่าปล่อยเกียร์ว่างให้รถเคลื่อนลงทางลาดเองไม่ถูกต้อง
การปล่อยให้รถไหลไปเองโดยไม่ใช้การขับเคลื่อนจะทำให้ควบคุมรถยนต์ยาก
โดย เฉพาะพวงมาลัยและเบรคเกียร์จะเข้ายากขึ้นอีกด้วย
18. ลดเกียร์ไม่จำเป็นต้องไล่ตามลำดับ
การลดลงเกียร์ต่ำไม่จำเป็นต้อง ไล่ตามลำดับ เช่น จากเกียร์ห้ามาเกียร์สาม
จาก เกียร์สามมาเกียร์หนึ่ง เช่นนี้ จะทำให้เรามีเวลามองถนน
และจับพวงมาลัย ได้นานขึ้น
19.ใกล้ ทางแยก อย่าเปลี่ยนเลนกะทันหัน
ต้องตัดสินใจให้ดีว่าคุณกำลังจะ ไปทางไหน ซ้าย-ขวา หรือตรง
อย่าตัดเลนซ้ายมาขวา หรือขวามาซ้าย บริเวณใกล้ทางแยกจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ
หรือไม่ก็ถูกตำรวจจับแน่นอน
20.จะ ไม่มีการชนท้ายรถคนอื่นเด็ดขาด
ไม่ขับชิดคันหน้าเกิน ไปหรือกะระยะการทำงานของเบรคได้ถูกต้อง
21. สิ่งกีดขวางกลางถนน
บังเอิญ สิ่งกีด ขวางอยู่ในช่องจราจรของเรา
ตามหลักเราต้องให้รถยนต์วิ่งสวนทางมา ผ่านไป ก่อน
กรณีสิ่งกีดขวางอยู่ฝังตรงข้ามอย่าผลีผลามเหยียบคันเร่งเลย ไปเพราะ
รถคันสวนทางเราอาจไมยอมหยุดรถ
และหลบสิ่งกีดขวางออกมาในเลนของเราหน้าตาเฉย
22. สิ่งกีดขวางอยู่บนเนิน
นับว่าเป็นเรื่องท้าทายให้ต้องเพิ่ม ความระมัดระวังเป็น พิเศษ
การใช้เบรคจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาจัดการแก้ ปัญหานี้
23. แซงรถที่กำลังวิ่ง
ต้อง เข้าใจว่ารถคันหน้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วหนึ่งหากเราคิดจะแซง
แน่นอน ว่าความเร็วของรถเราต้องมากกว่า
เมื่อหักลบกับความเร็วคันหน้าก็จะได้ ระยะทางที่ต้องใช้ในการแซง นั่นก็คือ
แซงรถกำลังวิ่งครั้งหนึ่งต้องใช้ เวลามากกว่าปกติ
ทางที่ดีไม่แน่ใจอย่าแซงจะดีกว่า
24. แซงระทางชัน
หาก เป็นรถที่บรรทุกของหนักและวิ่งช้ากว่าเรา การแซงจะใช้เวลาสั้นลงอย่างมาก
แต่พึงระวังรถสวนเลนตรงข้าม ซึ่งจะวิ่งลงทางลาดด้วยความเร็วสูง
25. อย่าเร่งรถหากกำลังถูกแซง
จะ เป็นการผิดมารยาทอย่างยิ่ง
หากรถของคุณที่กำลังถูกแซงเร่งเครื่องหนี ด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น
เมื่อเห็นว่ารถคันขวาของคุณกำลังจะถูกแซง ต้องชะลอความเร็วรถของคุณ
เพื่อให้รถของเขาแซงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
26. ขับรถขึ้นเขา
กรณี ขับรถขึ้นเขาหรือเนิน แน่นอนว่ารถของคุณต้องใช้กำลังเพิ่มมากขึ้น
การ ขับต้องเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำกว่าเดิมเพื่อรักษาความเร็วของรถ
การ เปลี่ยนเกียร์ต้องเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
เพราะขณะที่เรายกเท้าออกจากคัน เร่งแล้วเหยียบคลัตช์เปลี่ยนเกียร์
27. ขับรถลงทางลาด
ขึ้น เนินใช้เกียร์ต่ำเพื่อรักษา ความเร็วของรถ ลงทางลาดก็ต้องใช้เกียร์ต่ำ
เพื่อ ลดอัตราเร็วของรถแทนการ ใช้เบรค เพราะหากใช้เบรคในทางลาดมากไป
จะทำให้ เบรคลื่นและจับไม่อยู่ เนื่องจากมีความร้อนสูง
28. ออกตัวของรถขึ้นทางชัน
ผู้ขับขี่มือใหม่มักมีปัญหาการออกตัวขึ้น เนินแล้วรถเคลื่อนที่ถอยหลัง
ต้อง ฝึกให้มีความสามารถในการใช้คันเร่งคลัตช์และเบรคมือพร้อมกัน
โดยใช้เท้า ซ้ายกดแป้นคลัตช์ลง โยกคันเกียร์จากเกียร์ว่างไปยังเกียร์หนึ่ง
ใช้เท้า ขวากดแป้นคันเร่ง โดยกดให้มากกว่าการออกตัวบนพื้นระดับ
และต้องกดอย่าง สม่ำเสมอตามปริมาณชองความชัน
29. จดรถหันหน้าขึ้นเนิน
หลีก เลี่ยงได้ควรหลีก แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดให้ชิดขอบขวาทางด้านซ้ายมากที่สุด
หมุน พวงมาลัย ให้ล้อหันไปทางขวาป้องกันการเคลื่อนที่ถอยหลังเป็นเกียร์หนึ่ง
และ ใช้ เบรคมือให้มั่นคง
30.จอด รถหันหน้าลงเนิน
หมุนพวง มาลัยไปทางซ้ายให้ล้อหันเข้าหา ขอบทางเท้า
ป้องกันไม่ให้รถเคลื่อนที่ เดินหน้าใส่เกียร์ถอยหลังและเบรค มือไว้
31. ทางโค้งนะ
ให้ สังเกตป้ายจราจรว่า โค้งไปทางขวาหรือทางซ้าย
การเข้าโค้งให้ใช้ เบรคเท้าควบคุมความเร็วของรถ
เลือกเกียร์ให้เหมาะสมใช้คันเร่งอย่าง ระมัดระวังและบังคับรถให้ชิดเส้นแบ่ง
ถนนทางขวาไว้จนตลอดทางโค้ง
32.ระวัง หลุดโค้ง
ปรกติ ทางโค้งจะมีทั้งป้ายจราจรเตือนล่วงหน้าและมีเสาหลักปักตามระยะโค้ง
แต่ หากผู้ขับขี่ไม่ควบคุมความเร็วเข้าโค้งด้วยความโค้ง
โค้งธรรมดาก็จะกลาย เป็นโค้งหักศอกให้ได้รับอันตรายให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ
33. ความดันลมของยางสัมพันธ์กับพวงมาลัย
ยางรถยนต์จะต้องมีความ ดันลมในปริมาณพอเหมาะไม่มากหรือ น้อยเกินไปถ้ามากไปทำ
ให้ยากสึกหรอ
ไม่ ยึดถนนและลื่นไถลทางโค้งแต่ หากความดันลมยางน้อยไปจะทำให้ยางร้อนจัดยาง
ไม่ เกาะถนนและสึกหรอง่าย
สังเกต ว่าความดันลมยางน้อยไปเมื่อพวงมาลัยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น
34. เบรคบนทางโค้งอันตราย!
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคบนถนนทางโค้ง
เพราะ จะทำให้รถยนต์เสียการทรงตัว และมีแนวโน้มลื่นไถลหลุดโค้งออกไป
35. รถใหญ่บังรถเล็ก
รถใหญ่ที่วิ่งตามทางแยกอาจบัง รถเล็กอีกคันที่กำลัง แซงขึ้นมา
หากเราตัดสินใจเลี้ยวออกจากทางแยกแบบ ปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ระวังให้ดี
อาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
36.ถอย หลังทางไหนหมุนพวงมาลัยทางนั้น
การถอยหลังรถแรก ๆ
อาจ จะดูไม่ถนัด ต้องอาศัยประสบการณ์
โดยมีเคล็ดลับอยู่ว่าจะให้ส่วนท้ายของ รถหันไปทางไหนก็หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น
ส่วนผู้ขับก็เอี้ยวตัวไปดูข้าง หลังโดยมือถือพวงมาลัยมือหนึ่ง
อีกมือพาด บนพนักพิงผู้โดยสาร
37.ข้อ ห้ามของการถอยหลัง
อย่าใช้วิธีกลับรถโดยการถอยหลัง จากถนนซอยสู่ถนนใหญ่
เมื่อไม่แน่ใจว่าปลอดภัย อย่าถอยหลังและอย่าถอยหลังเป็นระยะทางไกล ๆ
โดยไม่จำเป็น
38.ไฟ เขียวให้รีบไปแน่หรือ
การขับรถบริเวณทางแยกที่มีไฟจราจรกำกับและ เป็นไฟเขียวอยู่
ไม่ ตะบี้ตะบันเหยียบคันเร่งให้ทันสัญญาณไฟ
ควร สังเกตดูว่าไฟเขียวนั้นนาน แค่ไหน
แล้วสังเกตดูว่ารถจากถนนฝั่งหนึ่งมี แถวยาวเท่าใน
และควรขับ รถเว้นระยะกับรถคันหลังดูว่าหากเบรคกะทันหัน กรณีไม่ทันไฟเขียว
แล้วคุณ จะไม่ถูกชนท้าย
39.รีบ ร้อนไปไหนยังไฟแดงอยู่เลย
ผู้ขับขี่หลายรายต้องเสียอก เสียใจทุกวันนี้ เพราะประสบอุบัติเหตุ
เนื่องจากชอบออกรถในขณะที่สัญญาณ ไฟยังเป็นไฟแดงหรือเหลืองอยู่
โดยคาดเดาล่วงหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยน สัญญาณไฟจราจร
ในขณะที่รถอีกฝั่งยังไฟแดงอาศัยลูกติดพันจากไฟเขียว ผลก็คือ
ประสานงากันจังเบ้อเริ่ม เดือดร้อนกันทั่วหน้า
40. ถูกจี้ท้ายและเตือนด้วยไฟสูงต่ำ
หลายคนคงเคยเจอนักเลงกลางถนน โดยขับขี่อยู่ ดี
ๆก็มีรถคัน อื่นมาจี้ท้ายแถมใช้ไฟสูงต่ำยิงใส่ท้ายรถ
อย่า ตกใจและห้ามตอบโต้เด็ดขาด เพียงแต่ค่อย ๆ เปลี่ยนช่องจราจรไปทางซ้าย
เพื่อ ให้เกิดช่องว่างให้รถ คันหลังผ่านไปได้
41. กระจกหน้ารถต้องสะอาดอยู่เสมอ
กระจกหน้ารถที่สะอาด เมื่อเวลาฝนตก
ใบ ปัดน้ำฝนจะทำความสะอาดได้เร็วมากขึ้นมาก
ควรลด อัตราเร็วลงหากอุปกรณ์ปัดน้ำฝนทำงานไม่ทันกับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา
อย่าง หนัก
42.ไม่แตะเบรคขณะรถ ลื่นไถล
กรณีรถขาดการทรงตัว
เมื่อ เจอสภาพถนนมีน้ำมัน เกลื่อนกลาดอย่าตกใจยกเท้าออกจากคันเร่งและหมุนพวง
มาลัย ไปในทิศทางเดียว กับทิศทางการลื่นไถลโดยห้ามแตะเบรคโดยเด็ดขาด
เพราะจะทำ ให้สถานการณ์เลว ร้ายลงไปอีก
43. อย่าเพิ่งดับไฟขณะรุ่งสาง
การ รีบดับไฟ เมื่อขับรถตอนรุ่งสางไม่เป็นผลดีต้องให้แน่ใจว่าคุณสามารถมอง
เห็น ถนนและ ผู้ขับขี่คันอื่นอย่างชัดเจนเสียก่อนจึงค่อยดับไฟ กรณีรถมีสีคล้ำ
ดำ หรือน้ำเงิน ซึ่งไม่ค่อยสะท้อนแสงต้องเปิดไฟแต่เนิ่น ๆ
เมื่อเริ่มจะ มือและปิดไฟช้ากว่าคันอื่นเมื่อเวลารุ่งสาง
44. การใช้น้ำมันหล่อลื่น
การเติมน้ำมันหล่อลื่นต้องรักษาปริมาณให้ถึงขีดกำหนดของรถเสมอ
น้ำมัน หล่อลื่นเป็นสารอันตรายต่อผิวหนัง
ควรล้างมือทันทีและเก็บภาชนะบรรจุ น้ำมันให้ห่างไกลจากมือเด็ก
45. รถเสียระวังเสียงรถ
เมื่อรถ คุณเกิดเสียกลางทางแล้วมี อาสาสมัครเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ
หากคุณไม่ แน่ใจพฤติกรรมอย่าลงจากรถ เด็ดขาด
ให้ผู้ผ่านกระจกแล้วล็อคประตูไว้วาน ให้ช่วยไปโทรศัพท์หาผู้ที่ คุณต้องการจะ
ติดต่อด้วยจะดีที่สุด
46.อุปกรณ์ พยาบาลที่ควรจะมีในรถ
เพื่อ ความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉน คุณควรมีสิ่งเหล่านี้ไว้ในรถ
พลา สเตอร์, ผ้าพันแผล ขวดพลาสติคใส่น้ำสะอาดไว้ กรรไกร คีม
ผ้าพันแผลแบบ ยืดหดได้ โคมไฟฟ้า เหรียญ(สำหรับโทรศัพท์)
47. เด็กเล็กก็ควรคาดเข็มขัด
อุบัติเหตุ หลายครั้งเด็กเล็กต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจำนวนมาก
ในเมือง นอกได้ออกแบบที่นั่งเฉพาะสำหรับเด็กไว้อย่างมาตรฐาน
โดยเฉพาะมีเข็มขัด นิรภัยให้เด็กคาดเข็มขัดด้วย
สำหรับเมืองไทยที่ยังไม่มีที่นั่งเด็กแพร่ หลาย
ก็อาศัยพี่เลี้ยงหรือผู้โดยสารไปด้วยคอยดูแล
อย่าปล่อยให้เด็ก เป็นอิสระเด็ดขาด
48. ทำยังไงเมื่อกระจกหน้ารถแตกละเอียด
อุบัติเหตุ เช่นนี้ เกิดขึ้นได้เมื่อรถแล่นด้วยความเร็วสูง
ต้องควบคุมสติให้ได้ผ่น อคันเร่ง หาที่จอดอย่าปลอดภัย
หากระดาษหนังสือพิมพ์มาคลุมหน้าปัดรถและ กระโปรงรถ ใกล้กระจกหน้าเพื่อป้องกัน
ไม่ให้เศษกระจกปลิวเข้ามา แล้วจึงหาอะไรมาค่อย ๆ ทุบกระจกที่แตกค้างออก
แล้วขับรถไปหาอู่ซ่อมโดย เร็ว
49.เบรคจม
อุบัติเหตุบางครั้งเกิดจากการที่อยู่ดี ๆ
คัน เบรคก็จมซึ่งทำให้การหยุด รถทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เป็นเช่นนี้ให้ลดความ เร็วลงค่อย ๆ
ปั๊มเบรค สองสามครั้งเพื่อให้ความร้อนไปไล่ฟองอากาศและความชื้นจากนั้นจึง
ค่อย ๆ ขับไปด้วยควมเร็วเป็นปกติ
50. น้ำมันท่วม
รถที่จอดนิ่งอยู่สตาร์ทหลายทีก็ไม่ติด
แถม ยังได้กลิ่นฉุนของน้ำมันแสดงว่าน้ำมันได้ท่วมคาร์บูเรเตอร์
แล้วควา คอยอย่างน้อยสิบนาที
เพื่อให้น้ำมันระเหยแล้วเริ่มติดเครื่องใหม่อีก ครั้ง

วิธี ดู H แดง แท้-เทียม

0 ความคิดเห็น
วิธี ดู H แดง แท้-เทียม
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ของเทียมตัวนี้งานถือว่าใช้ได้
ทำได้สวยแต่วัสดุที่ ใช้ต่างจากของแท้ ทำให้ดูลด
ค่าลงไป แต่ราคาก็ต่างกันครึ่งต่อครึ่ง จึงเป็นทางเลือก
สำหรับเพื่อนที่คิดว่าไม่ซีเรียสนัก ก็ OK นะคับ
การ เปรียบเทียบครั้งนี้ ขอให้เป็นข้อมูลเลือกซื้อละกัน
นะคับ ของแท้ของเทียมมีทั่วไปในโลกความจริงอยู่แล้ว


ดูออกไหมคับ อันไหน แท้-เทียม

ทางซ้าย ตัวเนื้อที่เป็นโลหะคล้ายอลูมินัม ความเงามันจะไม่เด่นนัก ถ้าสังเกตุจะเห็นเป็นลายเส้นเล็กๆ และขอบของโลโก้จะมีความกว้างมากกว่า ตัวพื้นสีแดงจะเข้มกว่า

คราวนี้มาดูฝั่งขวาบ้าง ไม่ต้องอธิบายมาก ก็ต่างกับ
ที่ผมว่ามาจากข้าง บนอะนะ คือ วัตถุดิบที่ใช้ผลิต
ความมันเงาของเนื้อโครมเมี่ยมผนึกด้วย พลาสติก
โพลีคาบอร์เนต (ถ้าไม่ผิดนะ ผมมีประสบการณ์เรื่องวัสดุช่าง)
ถ้า พูดถึงความคงทน แน่นอนครับ
เนื้อโพลีคาบอเนตที่แหละมีความทนสูง ใช้ทำเลนส์
ไฟหน้าเช่นกัน สีแดงที่สดใสกว่า ก็เลียนแบบได้ยาก


และเมื่อดูด้านหลัง จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
ของแท้จะมีเครื่อง หมาย trade mark ของ Honda ครับ

ลองสังเกตดีดีนะคับ ภาพแรก เงาที่ผมใช้กล้องถ่าย
ความเงาของแท้ที่ สะท้อนกลับ เหมือนกระจกเลย
แต่ของเทียมดูมัวๆ นะคับ